หัวข้อ
- #การเดินทางไปทำงาน
- #วิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ
- #การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- #การทำงานจากที่บ้าน
- #การปล่อยคาร์บอน
สร้าง: 2024-02-05
สร้าง: 2024-02-05 17:26
pixabay
ไวรัสโคโรนาที่ทำให้มนุษย์ทุกคนทั่วโลกต้องเผชิญกับความยากลำบากนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา แม้ว่าในปี 2023 จะมีการประกาศว่าโรคระบาดได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนเกิดโรคระบาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในตอนนี้ เราคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบไร้สัมผัสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหารออนไลน์โดยไม่ต้องพบกับพนักงานส่งของ หรือการสั่งอาหารในร้านโดยไม่ต้องพูดคุยกับพนักงาน
วิถีชีวิตแบบไร้สัมผัสนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรูปแบบการทำงานของพนักงานออฟฟิศด้วย โดยหลายบริษัทได้คงรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ต่อไปแม้ว่าจะผ่านพ้นช่วงโรคระบาดแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นมาตรการที่เริ่มใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา จากสถิติพบว่า ประมาณ 20% ของบริษัทต่างๆ ยังคงใช้ระบบการทำงานจากที่บ้านหลังจากที่สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ 100% เหมือนในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid) ซึ่งเป็นการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการมาทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้านก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน
ในความเป็นจริง บริษัทหลายแห่งมองว่ารูปแบบการทำงานแบบไฮบริดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น เหตุผลที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอาจเป็นเพราะพนักงานไม่ต้องเสียพลังงานกับการเดินทางไปทำงาน แต่รู้หรือไม่ว่าการทำงานจากที่บ้านไม่ได้ช่วยประหยัดพลังงานของร่างกายเราเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย มีผลการวิจัยที่น่าสนใจระบุว่า การทำงานจากที่บ้านสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
pixabay
ในปี 2023 มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ในสหรัฐอเมริกาและไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ตีพิมพ์บทความวิจัยที่ระบุว่า การทำงานจากที่บ้าน 100% สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 54% ผลลัพธ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานจากที่บ้านทำให้ไม่ต้องเดินทางไปทำงาน ส่งผลให้การใช้รถยนต์ลดลงอย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีสัดส่วนที่สูงกว่าอย่างมาก ดังนั้น การใช้รถยนต์จึงส่งผลกระทบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอย่างมาก
ส่วนการทำงานจากที่บ้าน 2-4 วันต่อสัปดาห์ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 29% สิ่งที่น่าสนใจคือ การทำงานจากที่บ้านเพียง 1 วันต่อสัปดาห์นั้น มีผลเพียงแค่ 2% เท่านั้น ทีมวิจัยระบุว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะพลังงานที่ใช้ในบ้านเพื่อการทำงานจากที่บ้านนั้น ชดเชยปริมาณการลดลงในแต่ละวันได้
pixabay
จากข้อมูลข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่า การทำงานจากที่บ้านเพียงอย่างเดียวไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญไม่ใช่ ‘การทำงานจากที่บ้าน’ แต่เป็น ‘เหตุผล’ ที่ทำให้การทำงานจากที่บ้านช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นั่นหมายความว่า เราควรให้ความสำคัญกับ ‘วิธีการเดินทางไปทำงาน’ มากกว่า ‘การเดินทางไปทำงาน’ นั่นเอง แม้ว่าจะต้องเดินทางไปทำงาน แต่ถ้าเราใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว ก็จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ในทางกลับกัน แม้ว่าจะทำงานจากที่บ้าน แต่ถ้าหลังเลิกงานเราใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางไปทำกิจกรรมอื่นๆ ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
pixabay
อีกหนึ่งเหตุผลที่การทำงานจากที่บ้านช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็คือ การลดการใช้พลังงานในออฟฟิศ แต่เราก็ไม่ควรให้ความสนใจกับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเราทำงานจากที่บ้านแต่ใช้พลังงานไฟฟ้าและก๊าซมากขึ้น ก็จะทำให้ผลลัพธ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ในทางกลับกัน แม้ว่าจะทำงานในออฟฟิศ แต่หากเราใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูง ก็สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เราเรียนรู้จากผลการวิจัยนี้ก็คือ วิถีชีวิตของเรามีความสำคัญมากกว่ารูปแบบการทำงาน การสร้างนิสัยในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เราสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ว่าจะเลือกทำงานในรูปแบบใดก็ตาม ขอให้ทุกท่านจงตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้เสมอ
ความคิดเห็น0